คลอดลูก ยากหรือง่าย???? March 7, 2019 459 0 0 คลอดลูก ยากหรือง่าย ก่อนที่คุณจะคลอด คุณหมอจะวัดขนาดของกระดูกอุ้งเชิงกรานว่ามีขนาดของอุ้งเชิงกรานปกติหรือไม่ หากมีปัญหา เช่น มีขนาดเล็กก็จะทให้คุณแม่คลอดลูกยาก คุณหมอจะหาทางแก้ไขลำดับต่อไป ต่อมาคือ ขนาดของทารก เช่น น้ำหนักมากกว่า 3,500 กรัม แสดงว่าหนูน้อยในท้องตัวโตการคลอดก็จะยากขึ้น อาจทำให้เกิดความเสี่ยง ก็ต้องตัดสินใจใช้วิธีผ่าคลอดเป็นทางเลือกแทนการคลอดธรรมชาติ ✔️ เรื่องคลอดที่แม่ควรรู้ เราเข้าใจดีที่คุณมีความกังวลสารพันเรื่องเกี่ยวกับการคลอด (ไม่ผิดหรอกค่ะ) แต่สิ่งที่คุณแม่เตรียมได้ คือ ข้อมูล อะไรที่ไม่เข้าใจหรือสงสัยก็สอบถามคุณหมอไว้ พอถึงสถานการณ์ความจริงคุณจะได้ตั้งตัว และเตรียมตัวได้ถูก เช่น สัญญาณเตือนคลอด มักเกิดช่วงโค้งสุดท้ายของการตั้งท้อง (สัปดาห์ที่ 36-38) มีอาการที่ต้องสังเกต เช่น อาการท้องเกร็ง ท้องแข็งหรือเลือดออก ก็เป็นสัญญาณที่ไม่น่าไว้ใจต้องไปพบคุณหมอด่วน เป็นต้น การไปโรงพยาบาล เริ่มตั้งแต่คุณแม่รู้ว่าตั้งท้อง ก็ควรฝากท้องในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่พัก เดินทางสะดวก หากมีเหตุหรืออาการคลอดกะทันหันจะได้ไปถึงโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย กลัวเจ็บ กลัวคลอดยาก กลัวลูกเป็นอันตราย ข้อนี้เป็นกันหมดกับแม่มือใหม่ ดีที่กลไกทางธรรมชาติของร่างกายสร้างมาให้แม่ เมื่อลูกน้อยจะออกมาดูโลก จึงพยายามผลักดันตัวเองออกมา หากไม่มีอะไรแทรกซ้อนหรือเป็นเหตุต้องผ่าคลอด คุณแม่จะสามารถคลอดแบบธรรมชาติได้ทุกคนค่ะ Mother & Care Free
กรดไหลย้อน อันตรายกับแม่ท้อง? March 7, 2019 512 0 0 เพราะพบว่า คุณแม่ที่ตั้งท้องมีโอกาสเป็นโรคกรดไหลย้อนถึง 30-50% เรามาทำความรู้จัก รู้ถึงวิธีการป้องกัน ดูแลอาการของโรคเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ กันค่ะ แบบไหนเรียกว่า กรดไหลย้อน??? อธิบายง่ายๆ คือ กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร บางทีไหลย้อนขึ้นมาจนถึงบริเวณกลางหน้าอก ทำให้รู้สึกแสบร้อนกลางหน้าอก อึดอัดไม่สบายบริเวณลิ้นปี่ ลำคอ และอาจเกิดอาการเรอ กลืนลำบาก รู้สึกร้อนในกระเพาะ มีน้ำในปริมาณค่อนข้างมากในปาก ซึ่งมักเป็นช่วงหลังอาหาร หรืออาจจะเกิดช่วงกลางคืน คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบภายในร่างกาย ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้ง่าย จากสาเหตุต่อไปนี้ – แรงบีบหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่าง ที่ต่อกับส่วนต้นของกระเพาะอาหารทำงานลดน้อยลง – ทารกเติบโตขึ้นตามอายุครรภ์ ขยายจนกดและดันกระเพาะอาหาร – หากเป็นโรคนี้อยู่แล้ว คุณแม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการมากขึ้น ทำไงดี เป็นกรดไหลย้อน?? – ลดอาหารและปัจจัยที่ทำให้เป็นกรดไหลย้อน เช่น อาหารประเภทไขมันสูง น้ำมันมาก – ไม่ควรกินอาหารครั้งละมากๆ หรือกินช่วงมื้อดึก (กินเสร็จแล้วนอน) – การกินยาเพื่อป้องกันกรดไหลย้อน สามารถทำได้ โดยปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากคุณหมอ – เพื่อกระตุ้นการย่อยอาหาร เลือกอาหารที่มีเครื่องเทศผสมอยู่ เช่น พริกไทย ขิง เป็นต้น
ยาอันตรายของแม่ท้อง March 7, 2019 419 0 0 การใช้ยาอะไรก็ตามช่วงตั้งท้อง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอ ใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มยาหรือสินค้าบางตัวต่อไปนี้ ++ ยาลดสิว กลุ่มกรดวิตามินเอ เป็นกลุ่มยาที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนในการใช้ เช่น ใช้เฉพาะในสิวที่รุนแรง สิวหัวช้าง, สิวที่ดื้อต่อการใช้ยาปฏิชีวนะ และสิวที่ทำให้เกิดแผลเป็น มีผลทำให้ทารกพิการแต่กำเนิดได้ และแม้ว่าจะคลอดออกมา ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะบกพร่องทางสมอง ต้องใช้ภายใต้คำสั่งของคุณหมอ ++ ครีมผิวขาว บางตัวมีส่วนผสมของสเตรียรอยด์ (โคเบตาซอล) สารชนิดนี้ออกฤทธิ์ที่ผิวหนังชั้นแท้ ส่งผลต่อการสร้างอิลาสอิน คอลลาเจนของผิว ยังยับยั้งการทำงานของเม็ดผิวสี เกิดอันตรายกับคุณแม่ได้ เช่น การแตกลายงาของผิว ทำให้ผิวบางและเส้นเลือดขยาย เกิดการไหม้ มีรอยแดง โดยเฉพาะที่หน้าหรือบริเวณที่มีต่อมไขมัน ใครที่ผิวบาง แพ้ง่าย มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ✔️ ก่อนใช้ยา ระวังไว้ก่อน – ควรอ่านเอกสารกำกับยาให้ชัดเจนก่อนใช้ – ยาต้องห้าม จะระบุว่า “หญิงมีครรภ์ห้ามใช้” – หากมีข้อสงสัยเร่งด่วนเกี่ยวกับการใช้ยา ควรขอคำแนะนำจากเภสัชกรหรือหมอที่คุณไปตรวจท้องเป็นประจำ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ก่อนเลือกใช้คุณต้องมั่นในใจข้อมูลและความปลอดภัย หรือจะเลือกปรึกษาคุณหมอก็ไม่เสียหายแต่อย่างใดค่ะ ✔️ เรื่องสิวๆ ปัญหาเรื่องสิวคนท้อง ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น และเรื่องความเครียด ความกังวลใจต่างๆ เราอยากแนะนำวิธีที่ปลอดภัยในการดูแลเรื่องสิวว่า
แม่ท้อง 30 อัพ รับมืออย่างไรไม่ให้กังวล? March 7, 2019 170 0 0 ✔️ ในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ความมั่นคงในชีวิตคู่และการงานอาจมีมากขึ้นและพร้อมสำหรับการมีลูกแล้ว ย่อมทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย รวมถึงความกังวลเรื่องสุขภาพ มาติดตามเรื่องการมีลูก กับแม่ท้อง30อัพกันค่ะ ✔️ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในวัยนี้ควรอยู่ใกล้ชิดกับแพทย์ประจำตัวเพื่อการดูแลสุขภาพ และตรวจสอบความผิดปกติอย่างละเอียด ซึ่งจะเป็นวิธีที่ช่วยคลายความกังวลได้ เพราะหากปล่อยให้ความเครียดจากเรื่องงาน ครอบครัวก่อตัวขึ้นจนเริ่มเรื้อรัง ย่อมกระทบต่อสุขภาพกายและจิตใจ เพราะจะทำให้ฮอร์โมนความเครียด (ฮอร์โมนคอร์ติซอล) หลั่งอย่างต่อเนื่อง ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นโรคซึมเศร้า มีปัญหาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะตามมา และส่งผลต่อปัญหาสุขภาพเพราะความเครียดจะทำให้กล้ามเนื้อตึง ปวดหลังด้วย ✔️ วิธีรับมือที่ดีที่สุด คือ หมั่นทำใจให้สงบ ทำสมาธิ สวดมนต์ กำหนดลมหายใจ นับเลขในใจเมื่อเริ่มมีความเครียดก็จะช่วยผ่อนคลายได้ทั้งใจและกายค่ะ
เพื่อลูกน้อยปลอดจาก 3 โรคร้าย March 7, 2019 365 0 0 ‘วัคซีน’ ไม่เพียงช่วยปกป้องคุณแม่ให้มีสุขภาพดี แต่ยังช่วยป้องกันโรคติดเชื้อให้ลูกได้ในช่วงหลังคลอดเพราะลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ดี โดยเฉพาะโรคไอกรน ซึ่งคุณแม่สามารถช่วยลูกได้ด้วยการฉีดวัคซีนแด๊ป (Tdap vaccine) เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ครอบคลุมทั้ง 3 โรค คือ บาดทะยัก คอตีบ ไอกรนตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ค่ะ ✔️ 4 เหตุผลที่น่ารู้…ทำไมต้องฉีดวัคซีนช่วงตั้งครรภ์ ทารกมีโอกาสติดเชื้อสูงช่วงหลังคลอด เพราะยังไม่ได้รับวัคซีนจนกว่าอายุจะครบ 2 เดือน ทำให้ไม่มีภูมิต้านทานและเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคจากแม่ได้ง่าย โดยเฉพาะไอกรน แม่ที่เคยได้รับวัคซีนในช่วงที่เป็นเด็ก ภูมิคุ้มกันต่อโรคลดน้อยลงจนไม่เพียงพอในป้องกันโรคได้ จึงจำเป็นฉีดวัคซีนกระตุ้นเพื่อให้ภูมิคุ้มกันมีมากพอในการป้องกัน การฉีดวัคซีนให้ทารกที่อายุครบ 2 เดือน ไม่สามารถป้องกันได้ทันต่อการติดเชื้อ เพราะภูมิต้านทานยังขึ้นไม่ทัน การให้วัคซีนกับแม่ท้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ บาดทะยัก คอตีบ ไอกรนเป็นโรคอันตราย โดยเมื่อบาดทะยักเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล จะทำให้เด็กชักรุนแรง จนอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะวัยแรกเกิด ส่วนคอตีบจะทำให้ทางเดินหายใจอักเสบรุนแรงจนตีบตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หัวใจล้มเหลว ไอกรนทำให้ไอรุนแรงนานจนหยุดหายใจ เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะทารกที่อายุน้อยกว่า 4 เดือน ✔️ 6 คำแนะนำสำหรับการได้รับวัคซีนแด๊ป ปัจจุบันสหรัฐอเมริกา (ACIP) แนะนำให้ Tdap กับคุณแม่ทุกครั้งที่ตั้งครรภ์ เพราะพบว่าภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นจากวัคซีนจะลดลงไปภายใน 1 ปีหลังได้รับวัคซีนจนมีระดับไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันลูกในการตั้งครรภ์ถัดไป ช่วงที่เหมาะสมในการให้ Tdap
คุณแม่สุขภาพดี ส่งผ่านภูมิคุ้มกันสู่ลูกน้อย March 7, 2019 184 0 0 ✔️ เป็นที่ทราบกันดีว่าสุขภาพของคุณแม่ในช่วงครรภ์นั้นเกี่ยวข้องกับสุขภาพของลูกน้อยโดยตรง ในปัจจุบันมีโรคติดเชื้อหลายชนิดที่เป็นในคุณแม่ได้ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่,โรคสุกใส, โรคไวรัสตับอักเสบเอ, บี รวมทั้งโรคบาดทะยัก คอตีบ ไอกรน ดังนั้น จึงมีแนะนำให้ป้องกันโรคต่างๆ กับคุณแม่ด้วยการให้วัคซีน เพราะไม่เพียงช่วยลดการเกิดโรคให้คุณแม่สุขภาพดี แต่ยังส่งผ่านภูมิคุ้มกันไปถึงทารกในครรภ์ ช่วยลดการติดเชื้อ ลดการเกิดโรคให้ลูกปลอดภัยช่วงหลังคลอดได้ด้วย ✔️ รู้จักโรคบาดทะยัก คอตีบ ไอกรน * โรคบาดทะยัก เป็นโรคที่ติดต่อจากแผลสกปรก ทำให้ติดเชื้อบาดทะยักที่เป็นพิษต่อระบบประสาท เกิดอาการเกร็งกระตุก ขากรรไกรแข็ง เจ็บปวดกล้ามเนื้อ ทารกที่ดูแลสะดือไม่สะอาดก็ทำให้มีอัตราเสียชีวิตสูงในอดีต ส่วนในเด็กโตมักเล่นซนจนเกิดแผลต่างๆ * โรคคอตีบ เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อจากการสัมผัส ไอจามรดกัน ทำให้เกิดการอักเสบ อวัยวะต่างๆ ในลำคอบวม มีอาการหายใจลำบาก เชื้อจะปล่อยพิษออกมาในกระแสเลือด ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ และเป็นอันตรายต่อระบบหายใจ * โรคไอกรน เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ติดต่อได้ง่าย เพียงไอจามรดกัน ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ มีลักษณะอาการเด่นชัด คือ ไอติดกันเป็นชุดและรุนแรง และกินเวลายาวนาน จนมีลักษณะการไอเรื้อรัง สมัยก่อนจึงเรียกว่า ‘ไอร้อยวัน’
8 พฤติกรรมทำลายสุขภาพ March 7, 2019 210 0 0 ✔️…เรื่องที่แม่ๆ ต้องรู้ การเลิกพฤติกรรมที่ไม่ดี ย่อมมีผลดีต่อชีวิตเรา แต่แม่ๆ อาจไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ดี คิดว่าไม่น่าจะมีผลเสียอะไร แต่จริงๆ แล้วมีค่ะ โดยเฉพาะ 8 พฤติกรรมแบบนี้ที่ควรเลิกทำเพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ มาติดตามกันค่ะ 1. กลั้นจาม >>> ความดันขึ้น การปิดปาก บีบจมูกเพื่อกลั้นจาม ทำให้ความดันในสมองเพิ่มขึ้น การไหลเวียนของเลือดไปยังสมองก็หยุดชะงัก เนื้อเยื่อในสมองก็ถูกบีบอัด ท้ายสุดก็จะปวดหัว หลอดเลือดก็เสียหาย มีผลเสียต่อการได้ยิน ใครที่ชอบทำ ต้องเลิกนะคะ 2. ใช้น้ำหอมมากไป >>> คลื่นไส้ เวียนหัว แม้จะเป็นไอเท็มชิ้นโปรด แต่น้ำหอมก็เป็นสารเคมีสังเคราะห์ ถ้าใช้มากก็ทำให้เวียนหัว คลื่นไส้ แล้วยังทำให้ง่วงนอนได้อีก ยิ่งถ้าเป็นภูมิแพ้ ยิ่งส่งผลให้เกิดการระคายเคืองตา ลำคอ ผิวหนัง เปลี่ยนมาใช้น้ำมันหอมระเหยดีกว่าค่ะ 3. ใช้สมาร์ทโฟนก่อนเข้านอน >>> ภูมิคุ้มกันเสื่อม การนอนหลับที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมได้ดีต้องไม่มีมือถือ แสงจากจอจะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยในการนอนหลับ เมื่อเมลาโทนินต่ำก็จะทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า มะเร็ง โรคอ้วน โรคหัวใจ และระบบภูมิคุ้มกันเสื่อม 4. เก็บอาหารในกล่องพลาสติก >>>
น้ำมันปลา ดีกับแม่ท้องจริงหรือ March 7, 2019 243 0 0 น้ำมันปลาคืออะไร?? น้ำมันปลา หรือ Fish oil หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเหมือนกับน้ำมันตับปลา แต่ความจริงเป็นไขมันของปลาซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 (Omega-3) ซึ่งปลาทะเลในประเทศแถบอากาศหนาวนั้นจะมีกรดไขมันจำเป็นในปริมาณที่สูง และมีไขมันประเภทโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในปริมาณที่ต่ำ จึงนิยมนำปลาทะเลเหล่านี้มาสกัดเอาน้ำมันปลา มีประโยชน์กับแม่ท้องอย่างไร?? ไขมันในน้ำมันปลาจะช่วยสร้างองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกาย รวมทั้งเนื้อสมอง เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ควบคุมการเกิดลิ่มเลือด และสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย โดยเฉพาะโอเมก้า 3 จะช่วยลดการเกิดลิ่มเลือดที่จะไปอุดเส้นเลือดฝอยของหัวใจ และทำให้ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ซึ่งเป็นไขมันอันตรายลดลงต่ำลง การกินน้ำมันปลาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการอักเสบของข้อกระดูกของแม่ท้องได้ ทั้งนี้คุณแม่ท้องควรเริ่มกินน้ำมันปลาตั้งแต่อายุครรภ์ 7 สัปดาห์ โดยการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถึงแม้โอเมเก้า 3 จะเป็นกรดไขมันที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่หากคุณแม่ท้องกินน้ำมันปลาชนิดเม็ดหรือแคปซูลมากเกินไป ก็จะเกิดการสะสมในร่างกายตามอวัยวะต่างๆ จนอาจจะก่ออันตรายได้ และหากบริโภคเกินความต้องการอาจก่อให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์ได้ นอกจากนี้ คุณแม่ท้องควรหยุดกินน้ำมันปลาเมื่อตั้งครรภ์ 6-7 เดือน เพราะจะทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกันลดลง ซึ่งแม้เป็นผลดีที่ช่วยไม่ให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด แต่อาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าเมื่อเกิดบาดแผลหรือผ่าตัด ดังนั้น คุณแม่ท้องควรหลีกเลี่ยงการกินน้ำมันปลาในรูปของยาเม็ดหรือแคปซูล และหันมากินน้ำมันปลาจากการเลือกบริโภคอาหารแทน เพราะในอาหารจะมีความสมดุลของกรดไขมันต่างๆ อย่างพอเหมาะ และราคาถูกกว่าด้วย พบในอาหารชนิดใด? กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3
น้ำมันบำรุงผิว จากธรรมชาติ March 7, 2019 226 0 0 ทุกวันนี้กระแสธรรมชาติกำลังมาแรง ที่ผ่านมาเราหลงอยู่กับรูปแบบภายนอกที่สวยงาม ประกอบด้วยสารเคมีของโบร่ำโบราณจึงค่อยๆ กลืนหายไปกับเทคโนโลยี แต่เมื่อเราใช้สารเคมีกันจนเคยตัว ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ได้เลิศหรูอย่างที่เราคิด แต่กลับมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เราจึงย้อนกลับมาหาของใกล้ตัว ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน ที่เรากำลังวิ่งตามหาทั้งๆ ที่ในอดีตบรรพบุรุษเราท่านใช้มาเนิ่นนาน ของที่นำมาใช้ก็มุ่งเน้นให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรง อย่างน้ำมันบำรุงผิวก็เช่นกัน เทียบกันในด้านของราคาน้ำมันธรรมชาติ ราคาไม่กี่สิบบาท กับโลชั่นบำรุงผิว ราคาเป็นพันบาท คุณค่าที่แท้จริง อาจจะไม่ต่างกันเลย ขอยกตัวอย่าง 3 น้ำมันธรรมชาติที่คุณหาซื้อได้ง่ายๆ และมีประโยชน์มากมาย ✔️น้ำมันมะพร้าว กรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวมีโมเลกุลขนาดกลาง ทำให้ซึมลงผิวได้เร็ว มีวิตามินอีสูง ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวหนังแข็งแรง ลดการแตก และลดรอยเหี่ยวย่น จะใช้หมักผม หรือทาผิวพรรณก็ได้ ✔️น้ำมันมะกอก มีหลายคุณภาพขึ้นอยู่กับการเก็บและขั้นตอนการสกัดน้ำมัน ถ้าเป็นการสกัดน้ำมันแบบบริสุทธิ์ 100% นิยมนำมาประกอบอาหาร และมีราคาแพง แต่สำหรับน้ำมันเพื่อทาผิวพรรณอาจเลือกที่เฉพาะเจาะจงว่านำมาบำรุงผิว ก็จะมีราคาถูกลงมา ซึ่งคุณสมบัติของน้ำมันมะกอกจะช่วยให้ผิวละเอียด อ่อนนุ่ม ชุ่มชื่น ป้องกันรังสียูวี หมั่นทาเล็บช่วยให้เล็บแข็งแรง ✔️น้ำมันงา โดยปกติเรารู้จักงาว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง เมื่อนำมาผ่านกระบวนการอัดงา จะได้น้ำมันงาธรรมชาติ ที่นำมาปรุงอาหาร และบำรุงผิวได้ด้วยเช่นเดียวกับน้ำมันชนิดอื่นๆ และถ้านำมาใส่ผมจะช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม น้ำมันที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถนำมาประกอบอาหารได้
ทำอย่างไรเมื่อแม่ท้องหน้ามืด เป็นลมขณะเดินทาง??? March 7, 2019 198 0 0 ความจริง อาการนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อแม่ท้อง แต่สิ่งที่เป็นอันตรายจริงๆ คือ อุบัติเหตุการล้มเสียหลักตกบันได ถนน รางรถไฟฟ้าตามที่เป็นข่าวน่าสะเทือนใจ แล้วจะดูแลป้องกันอย่างไรให้แน่ใจว่าปลอดภัยจริงๆ ก่อนอื่นแม่ๆ ต้องรู้ทันอาการหน้ามืด เป็นลมที่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งช่วงท้อง เลือดจะต้องไปเลี้ยงมดลูกและทารกมากขึ้นแล้วยังไปคั่งอยู่มากๆ บริเวณร่างกายส่วนล่าง ดังนั้นเวลาลุกขึ้นยืน เลือดก็ไหลไปสู่สมองไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการหน้ามืดได้ ยิ่งถ้าลุกขึ้นยืนเร็วๆ ยืนเดินนานเกิน หรืออยู่ในที่ที่แออัดมีคนมากๆ อากาศร้อนอบอ้าว หรือมีอาการแพ้ท้องมากๆ ก็ยิ่งเป็นง่ายขึ้น อาการเป็นแบบไหน??? จะมีอาการเกิดขึ้นทันทีทันใด คือ อาการวิงเวียน หน้ามืด หรือที่เรียกว่าอยู่ๆ ก็วืด ยืนทรงตัวไม่อยู่หรือยืนทรงตัวต่อไปไม่ไหว และมักจะล้มลงไป โดยบางรายอาจไม่ทันรู้สึกตัว วิธีดูแล เมื่อเริ่มรู้สึกหน้ามืดให้รีบหยุดทุกอย่างที่กำลังทำอยู่ ถ้าเดินอยู่ให้หยุดเดิน ทำงานอยู่ให้หยุดทำงาน ถ้าต่อคิวเข้าแถวขึ้นรถลงเรือให้หยุดนิ่งๆ แม้จะถึงคิวแล้วก็ตามก็ต้องหยุด อย่าฝืนไปต่อ ส่วนการขับรถ ห้ามทำโดยเด็ดขาดค่ะ ถ้าอยู่ในบ้าน หรืออยู่ในที่ที่มีพื้นที่มากพอ ให้ค่อยๆ นอนราบลงทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ล้มลงจนอาจเกิดการกระแทก การบาดเจ็บ หรือหัวฟาดพื้น หรือการกระทบกระเทือนต่อลูกในท้อง เมื่อนอนราบแล้วให้ยกขาขึ้นสูง โดยให้ปลายเท้าอยู่สูงกว่าศีรษะ ถ้ากำลังเดินทาง หรืออยู่ในรถโดยสารประจำทาง แต่ไม่ได้นั่ง หรืออยู่ในที่ที่จำกัดที่ ไม่สามารถจะนอนพักได้ให้ค่อยๆ
ทำอย่างไรดี เลือดออกตามไรฟัน??? March 7, 2019 254 0 0 คุณแม่ตั้งครรภ์ที่สังเกตว่าพอแปรงฟันแล้วบ้วนปาก จะมีเลือดออกตามไรฟัน ทำให้มีข้อสงสัยว่าควรเช็กสุขภาพหรือไม่ และไม่แน่ใจว่าจะมีผลกับการตั้งครรภ์หรือไม่อย่างไร เรามีคำตอบจากทีมสูตินรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท3มาฝากกันเช่นเคยค่ะ >> รู้เรื่องฮอร์โมนคุณแม่ตั้งครรภ์ก่อน การตั้งครรภ์นั้นจะทำให้มีฮอร์โมนเพศหญิงสูงขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายต่างๆตามมา ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุของช่องปาก ฮอร์โมนที่มากขึ้นนั้นจะทำให้เส้นเลือดที่อยู่ใต้เหงือกมีการขยายตัว ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเลือดออกจากเหงือก, เหงือกบวม-แดง-ปวด, เหงือกอักเสบ, หรือเกิดเป็นแผลได้ ส่วนผู้ที่มีการอักเสบที่เหงือกอยู่ก่อนแล้ว การตั้งครรภ์มักจะทำให้มีการอักเสบมากขึ้นและจะดีขึ้นหลังคลอด สาเหตุอื่นๆที่อาจเป็นปัจจัยร่วมของอาการข้างต้นนั้นไม่แน่ชัด แต่อาจเป็นไปได้ว่าฮอร์โมนเพศหญิงที่สูงขึ้นทำให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมในช่องปาก อันได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของค่ากรด-ด่าง ในช่องปาก และการเปลี่ยนแปลงของเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่นด้วย ซึ่งการเปลียนแปลงเหล่านี้อาจนำไปสู่การอักเสบในช่องปาก และการเกิดฟันผุได้ ดังนั้นการที่มีภาวะเลือดออกจากเหงือกในระหว่างตั้งครรภ์ หรือหากมีเหงือกอักเสบและได้รับการรักษานั้นจะไม่มีผลกับการตั้งครรภ์ สำหรับคำแนะนำผู้ที่มีอาการเลือดออกจากเหงือก หรือเหงือกอักเสบระหว่างตั้งครรภ์นั้น คือให้รักษาสุขภาพและความสะอาดในช่องปากให้เป็นอย่างดี แปรงฟันบ่อยขึ้น และการใช้ไหมขัดฟันมีความสำคัญมาก หากอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากควรปรึกษาทันตแพทย์ให้ช่วยดูแลด้วยนะคะ
ทำไมคนท้องต้องมีกลิ่นตัวด้วย! March 7, 2019 286 0 0 ระหว่างการตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากมาย ผิวหนังก็เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง โดยที่ผลของการเปลี่ยนแปลงของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน การที่ต่อมไขมันและต่อมเหงื่อทำงานมากกว่าช่วงก่อนการตั้งครรภ์จะทำให้เกิดกลิ่นตัวได้มากขึ้น ร่วมกับผลของฮอร์โมนระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้แม่หลายๆ คน รู้สึกว่า ระหว่างตั้งครรภ์เป็นคนขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย และมีกลิ่นตัว สำหรับบางคนผิวแห้ง คัน หรือเกิดเป็นโรคผิวหนังที่ต้องรักษา ดังนั้น ช่วงตั้งครรภ์นี้แนะนำให้อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังอาบน้ำอาจใช้โลชั่นหรือเบบี้ออยทาให้ทั่ว เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ โดย นพ.พงษ์ศักดิ์ เจริญงามเสมอ